Wednesday, February 26, 2020

ประวัติศาสตร์ของมาสเตอร์การ์ด (History of Mastercard)



บัตรเครดิตเป็นที่รู้จักกันครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อปี .. 1950 ภายใต้ชื่อบัตร   Diners’ Club ต่อมาในปีค.. 1958 ก็เกิดคู่แข่งคือบัตร American Express(AMEX) และ VISA


.. 1966 ธนาคารในรัฐแคลิฟอร์เนีย 4 แห่งได้แก่ United California Bank, Wells Fargo, Crocker National Bank และ Bank of California จับมือกันก่อตั้ง Interbank Card Association(ICA) โดยมีโลโก้เป็นตัวอักษร i สีขาวอยู่ในวงกลมสีดำและมีคำว่า INTERBANK อยู่ด้านล่าง

.. 1968 ICA ขยายเครือข่ายโดยร่วมมือกับ Banco Nacional ในเม็กซิโก Eurocard ของยุโรป รวมถึงญี่ปุ่น ทำตลาดบัตรเครดิตในชื่อ Master Charge โดยใช้โลโก้เป็นวงกลมสีแดงกับเหลืองซ้อนทับกันอยู่(เป็นสีที่สาม) ตรงกลางมีคำว่า master charge THE INTERBANK CARDS และมุมขวาล่างมีโลโก้ ICA

.. 1969 First National City Bank จากนิวยอร์ก(ปัจจุบันคือ Citibank) เข้าร่วมกับ ICA

ทศวรรษ 1970 ICA ขยายเครือข่ายไปทั่วโลกโดยมีแอฟริกาและออสเตรเลียเข้าร่วมเพิ่มเติม จนกระทั่งค.. 1979 Master Charge จึงเปลี่ยนชื่อเป็น MasterCard International และปรับโลโก้ใหม่เป็นใช้คำว่า MasterCard แทน

.. 1987 MasterCard ซื้อกิจการเครือข่ายเอทีเอ็มระดับโลกชื่อ Cirrus

.. 1990 ปรับโลโก้อีกครั้งโดยส่วนที่วงกลมซ้อนทับกันทำเป็นแท่งในแนวขวางสีแดงกับเหลืองสลับกันจำนวน 23 แท่ง

.. 1991 MasterCard ร่วมมือกับ Europay International เปิดตัว Maestro ซึ่งเป็นบัตรเดบิตใช้ระบบกด PIN(Personal Identification Number)

.. 1996 ปรับโลโก้อีกครั้งโดยแท่งแนวขวางที่อยู่ตรงกลางหนาขึ้นจึงมีจำนวนแท่งลดลงเหลือ 10 แท่งและเพิ่มเงาตรงคำว่า MasterCard

.. 2002 MasterCard ควบรวมกิจการกับ Europay International กลายเป็นบริษัท MasterCard Inc. ก่อนจะเข้าตลาดหุ้นนิวยอร์กในปีค.. 2006 โดยใช้สัญลักษณ์ “MA”

.. 2010 ก่อตั้ง MasterCard Labs เพื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ

.. 2013 Mastercard เปิดตัวฟังก์ชัน Contactless ชื่อ Masterpass

.. 2016 ปรับโลโก้ใหม่เป็นวงกลมสีแดงกับเหลืองซ้อนทับกัน(เป็นสีส้ม) และเริ่มนำคำว่า mastercard ออกจากวงกลมเป็นครั้งแรกโดยเปลี่ยนมาวางไว้อยู่ด้านล่าง

.. 2019 ปรับโลโก้อีกครั้งโดยนำชื่อบริษัทออกไปจากโลโก้เป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปีเพราะมั่นใจ 80% ของผู้คนรับรู้ว่าโลโก้นี้คือ mastercard ว้าววว!

ค่าย Mastercard แบ่งฐานันดรบัตรจากพื้นฐานไปยังสูงสุดดังนี้ Standard -> Gold -> Titanium -> Platinum -> World -> World Elite Mastercard ทุกระดับจะใช้โลโก้วงกลมสีแดงเหลืองยกเว้น World Elite Mastercard จะใช้โลโก้วงกลมสีเทาเข้มและเทาอ่อนซ้อนทับกันครับ

ประเทศไทย General Card Services ออกบัตรเครดิต World Elite Mastercard ใบแรกในปีค.. 2014 คือ Central The1 The Black(เป็นบัตรโคแบรนด์ระดับ World Elite Mastercard ใบแรกของเอเชียเลยทีเดียว) สามปีต่อมาค.. 2017 GSB ออกบัตรใบที่สองของไทยในชื่อ GSB Infinite Banking และสามปีถัดมาค.. 2020 Citi ก็ออกบัตรใบที่สามและสี่ของไทยคือบัตรเครดิต Citi Prestige และ Citi Ultima World Elite Mastercard นั่นเอง

อ้างอิง
2 https://newsroom.mastercard.com/press-releases/mastercard-evolves-its-brand-mark-by-dropping-its-name

หมายเหตุ อัปเดตข่าวสารทุกวันที่เพจ "สังคมไทยไร้เงินสด" 

Wednesday, February 19, 2020

ประวัติศาสตร์ของบัตรวีซ่า (History of VISA card)


บัตรเครดิตเป็นที่รู้จักกันครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อปี .. 1950 ภายใต้ชื่อบัตร  Diners’ Club ต่อมาในปีค.. 1958 ก็เกิดคู่แข่งคือบัตร American Express(AMEX) อย่างไรก็ตามทั้งสองเป็นบัตร charge card นั่นคือผู้ถือบัตรต้องชำระเงินเต็มจำนวนภายใน 30 วัน ผู้ใช้งานและร้านค้าจึงจำกัดอยู่ในสังคมชั้นสูง Joseph P. Williams(1915-2003) หัวหน้าหน่วยวิจัยการบริการลูกค้าของธนาคาร Bank of America มองเห็นปัญหานี้จึงคิดผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตเพื่อชนชั้นกลางและใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดกลางถึงเล็กได้ด้วย โดยเมื่อครบกำหนดเวลาผู้ถือบัตรสามารถชำระเงินคืนบางส่วนแต่จะมีดอกเบี้ยเกิดขึ้นเรียกว่าเป็น สินเชื่อหมุนเวียน(Revolving credit)” บัตรเครดิตนี้มีชื่อว่า BankAmericard โดยโลโก้ตรงกลางเป็นตัวอักษรสีน้ำเงิน พื้นหลังสีขาว ด้านบนมีแถบสีน้ำเงินและด้านล่างมีแถบสีทอง สีน้ำเงินหมายถึงท้องฟ้า ส่วนสีทองหมายถึงเนินทรายของแคลิฟอร์เนีย เพราะ Bank of America สาขาแรกก่อตั้งที่แคลิฟอร์เนียนั่นเอง

ธนาคารเริ่มทดสอบโครงการนี้ในปีค.. 1958 ที่เมือง Fresno รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นว่า “carry your credit in your pocket” หลังจากนั้นไม่กี่วันบัตรเครดิต 60,000 ใบ(วงเงินจำกัดที่ 300 ดอลลาร์สหรัฐ) ก็ถูกส่งไปให้ลูกค้าถึงบ้าน และ 15 เดือนต่อมาก็แจกจ่ายบัตรไปได้กว่า 2,000,000 ใบ เหตุการณ์นี้ได้รับการขนานนามว่า “official dawn of credit card(รุ่งอรุณของบัตรเครดิตอย่างเป็นทางการ)

โครงการเติบโตดีแต่เนื่องจาก Williams ไม่เคยทำงานแผนกสินเชื่อมาก่อน ตัวเลขลูกค้าเบี้ยวหนี้ที่คาดไว้ 4% กลับพุ่งไปถึง 22% (ก็แหงล่ะเล่นแจกบัตรไม่บันยะบันยังเอง) ทำให้ธนาคารสูญเงินไปกว่า 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ Williams จึงรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งไป โชคดีที่ทีมงานใหม่เข้ามาสะสางปัญหาต่างๆ จนกลับมาทำกำไรให้ธนาคาร บัตรเครดิต BankAmericard จึงได้ไปต่อ

.. 1966 ธนาคารในรัฐแคลิฟอร์เนีย 4 แห่งจับมือกันก่อตั้ง Interbank Card Association(ICA) เพื่อออกบัตรเครดิต MasterCharge(ปัจจุบันคือ  Mastercard) เมื่อมีคู่แข่งจึงเป็นแรงผลักดันให้ BankAmericard ต้องขยายโครงข่ายด้วยการให้ license กับธนาคารอื่นๆ นอกรัฐแคลิฟอร์เนีย รวมถึงต่างประเทศด้วย เมื่อมีธนาคารออกบัตรได้มากขึ้นก็เจออุปสรรคต่างๆ มากมาย ในที่สุดปีค.. 1970 BankAmericard จำต้องแยกออกจากธนาคาร Bank of America แล้วให้ธนาคารในอเมริกาที่ถือ license อยู่มารวมตัวกันจัดตั้ง National BankAmericard Inc.(NBI) โดยมี Dee Ward Hock(เกิด .. 1929) เป็นประธาน ต่อมาธนาคารในต่างประเทศที่ได้ license ก็พบอุปสรรคเช่นเดียวกันจึงรวมตัวกันจัดตั้ง International Bankcard Company (IBANCO) ในปีค.. 1974

.. 1975 บริษัทเปิดตัวบัตรเดบิตเป็นครั้งแรกโดยบัตรนี้ต่างจากบัตรเครดิตตรงที่จะตัดเงินจากบัญชีธนาคารที่ผูกไว้กับบัตรโดยตรง

.. 1976 NBI กับ IBANCO รวมตัวกันเป็นบริษัทเดียวโดย Hock ตั้งชื่อบริษัทว่า VISA เพราะเป็นคำสากลที่ทุกประเทศรู้จัก NBI กลายเป็น Visa USA ส่วน IBANCO กลายเป็น Visa International นอกจากนี้ยังมีอีก 2 บริษัทที่เป็นเอกเทศคือ Visa Canada และ Visa Europe โดยโลโก้ใช้รูปแบบเดิมเพียงเปลี่ยนตัวอักษรตรงกลางจาก BankAmericard เป็น VISA

.. 2006 มีการปรับโลโก้ใหม่โดยนำแถบสีบนและล่างออกไป เหลือเพียงอักษร VISA สีน้ำเงินบนพื้นหลังสีขาว และหลงเหลือสีทองไว้ที่จุดเริ่มต้นของตัว V เท่านั้น

.. 2007 Visa International, Visa USA และ Visa Canada รวมตัวกันเป็นบริษัทเดียวคือ Visa Inc. หนึ่งปีต่อมาบริษัทก็เข้าตลาดหุ้นนิวยอร์กโดยใช้สัญลักษณ์ “V” และกลายเป็นบริษัท Initial public offering(IPO) ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ

.. 2014 มีการปรับโลโก้อีกครั้งโดยนำสีทองที่จุดเริ่มต้นของตัว V ออกไป

จากความพยายามหลายปีในที่สุดค.. 2016 Visa Inc. ก็ซื้อกิจการ Visa Europe เข้ามารวมเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ Visa Inc. รวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้วแต่บัตร VISA ไม่ได้มีแค่หนึ่งเดียวนะ มีการแบ่งฐานันดรบัตรเป็นระดับต่างๆ เรียงลำดับจากพื้นฐานไปยังสูงสุดคือ VISA Classic -> Gold -> Platinum -> Signature -> Infinite  โดยจะพิมพ์ฐานันดรบัตรไว้ใต้สัญลักษณ์ VISA

ประเทศไทยสำนัก KTC เริ่มออกบัตรเครดิต VISA Infinite เป็นครั้งแรกในปีค.. 2005 แต่บัตร VISA Infinite พึ่งเริ่มมาได้รับความสนใจในปีค.. 2011 เมื่อ Citi ออกบัตร Citi Ultima จากนั้นก็มีสำนักต่างๆ ออกบัตรเพิ่มเติมเรื่อยมา จนปัจจุบันมีทั้งหมดกี่สำนักแล้ว? มาดูกันเลยยย
เปิดตัวปีค.. 2005
- KTC VISA Infinite
เปิดตัวปีค.. 2006-2010 ไม่มี
เปิดตัวปีค.. 2011
- Citi Ultima
เปิดตัวปีค.. 2012
- KTC-KTB Precious Plus VISA Infinite
เปิดตัวปีค.. 2013
- SCB private banking 
เปิดตัวปีค.. 2014
- The Wisdom VISA Infinite 
- Citi Ultima Metal
เปิดตัวปีค.. 2015
- Bangkok Bank VISA Infinite
- Citi prestige 
เปิดตัวปีค.. 2016
- Citi ROP preferred
เปิดตัวปีค.. 2017 ไม่มี
เปิดตัวปีค.. 2018
- UOB Infinite 
- SCB M LEGEND 
- KBank OneSiam VISA Infinite
เปิดตัวปีค.. 2019 ไม่มี

สรุปว่าปัจจุบันมี 6 สำนักที่มีบัตร VISA Infinite ได้แก่ KTC, Citi, SCB, KBank, BBL และ UOB อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่สุดไม่ได้อยู่ที่บัตรของท่านเป็นระดับใดแค่ขอให้วงเงินในบัตรเพียงพอต่อการใช้ครั้งนั้นก็พอ รูดไปจะได้ไม่หน้าแตกนะคร้าบบบ^^

อ้างอิง
1. WOLTERS, T. (2000). "Carry Your Credit in Your Pocket": The Early History of the Credit Card at Bank of America and Chase Manhattan. Enterprise & Society, 1(2), 315-354. Retrieved from http://www.jstor.org/stable/23699776
3. https://1000logos.net/visa-logo/

หมายเหตุ อัปเดตข่าวสารทุกวันที่เพจ "สังคมไทยไร้เงินสด" 

Wednesday, February 12, 2020

ใช้บัตรเครดิตถูกวิธีมีแต่ได้กับได้ถึง 5 ได้ (How to use credit card)



ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุค สังคมไทยไร้เงินสดซึ่งการใช้เงินสดมีแต่จะล้าสมัยลงไปเรื่อยๆ(แต่จะไม่สูญพันธุ์) ถ้าถามว่าการชำระเงินแบบไร้เงินสดรูปแบบไหนเร้าใจที่สุด? ตัวเลือกที่มีไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต บัตรเดบิต บัตรพรีเพด e-Wallet หรือ Mobile banking แอดมินขอบอกเลยว่า บัตรเครดิตคือผู้นำของวงการอย่างแท้จริงเพราะบัตรเครดิตได้รับการยอมรับจากร้านค้าทั้งออฟไลน์และออนไลน์ทั่วโลก และที่สำคัญรายการส่งเสริมการขายหรือโปรโมชั่นของบัตรเครดิตนั้นมีเยอะที่สุด ซึ่งถ้าคุณใช้บัตรเครดิตอย่างถูกวิธีจะมีแต่ได้กับได้ถึง 5 ได้! มาดูกันเลยว่าคุณจะได้อะไรบ้าง

1. ได้ความสะดวกและปลอดภัย

ได้ความสะดวก: เพียงพกบัตรเครดิตใบเดียวก็ใช้รูดจ่ายแทนเงินสดได้ตั้งเยอะ ไม่ต้องพกเหรียญหรือธนบัตรเป็นปึกให้เกะกะกระเป๋าสตางค์อีกต่อไป ตัดปัญหาความวุ่นวายในการนับเงินจ่ายหรือทอนเงินผิด ไม่ต้องหงุดหงิดกับปัญหาแท็กซี่ไม่ยอมทอนเศษเหรียญ เพราะปัจจุบันคุณสามารถใช้บริการ Grab Taxi แล้วจ่ายด้วยบัตรเครดิตที่ผูกกับแอปได้ นอกจากนี้ยังใช้ซื้อของออนไลน์ จองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรมที่พักได้ แบบไม่ต้องไปโอนเงินแล้วส่งหลักฐานการโอนเงินให้เสียเวลา

ได้ความปลอดภัย: เมื่อคุณใช้บัตรเครดิตก็ไม่จำเป็นต้องพกเงินสดจำนวนมากให้เสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมหรือทำเงินหายซึ่งไปแล้วไปลับตามเงินกลับมายากมาก แต่ถ้าบัตรเครดิตถูกขโมยไปคุณสามารถโทรอายัดบัตรได้ทันทีหรือระงับการใช้งานบัตรผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารได้ และถ้าบัตรถูกใช้งานจะมีการแจ้งเตือนทุกครั้งด้วย เช่น บริการของแอป UChoose เป็นต้น นอกจากนี้ธนาคารยังมีระบบตรวจจับการใช้งานบัตรผิดปกติ(Fraud monitoring) เช่น ถ้าบัตรมีการใช้งานในสถานที่หรือเว็บไซต์แปลกๆ ยอดใช้สูงหรือใช้งานถี่ผิดปกติ ธนาคารจะส่ง SMS หรือโทรมาสอบถามเพื่อยืนยันว่าคุณเป็นคนใช้บัตรจริงหรือไม่? ซึ่งถ้าคุณไม่ได้ใช้สามารถยื่นเรื่องเพื่อขอปฏิเสธ(dispute) ยอดดังกล่าวได้

2. ได้เงินไปใช้ก่อนฟรีๆ

บัตรเครดิตมีจุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างคือ ให้เราใช้บัตรโดยยังไม่ต้องจ่ายเงินทันที โดยทั่วไปบัตรเครดิตจะเว้นระยะเวลาไว้ให้ช่วงหนึ่ง ซึ่งถ้าเราชำระเงินภายในช่วงเวลานั้นจะไม่เสียดอกเบี้ยใดๆ ซึ่งเรียกว่า ระยะปลอดดอกเบี้ย(Interest free period) ซึ่งแต่ละสำนักจะกำหนดไว้ยาวนานไม่เท่ากัน ตัวอย่างเช่น บัตรเครดิตกรุงศรีมีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยสูงสุดถึง 50 วันเลยทีเดียว ดีงามมากครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าลืมท่องกฎเหล็กของการใช้บัตรเครดิตที่ถูกวิธีนั่นคือ ต้องชำระเงินเต็มจำนวนภายในไม่เกินวันครบกำหนดชำระถ้าทำตามกฎเหล็กข้อนี้ดอกเบี้ยไม่มีทางได้กินคุณแน่นอน อีกวิธีการง่ายๆ เพื่อกันพลาดคือ เปิดบัญชีธนาคารแล้วสมัครบริการตัดบัญชีอัตโนมัติเพื่อชำระค่าบัตรเครดิต เมื่อใช้บัตรไปกี่บาทก็โอนเงินเข้าไปใส่ไว้เท่านั้น หรือจะโอนเงินบวกเพิ่มอีก 10% เข้าไปใส่ไว้ก็เป็นการออมเงินไปในตัวด้วย เช่น รูดบัตรไป 100 บาท ก็โอนเงินเข้าบัญชีไป 110 บาท เป็นต้น แบบนี้พอถึงสิ้นปีเงินส่วนต่าง 10% ที่สะสมไว้จะพอกพูนเป็นเงินก้อนให้นำไปลงทุนต่อหรือจะใช้จ่ายอะไรให้เป็นรางวัลกับชีวิตก็ได้ครับ

3. ได้รางวัล

เนื่องจากตลาดนี้มีผู้เล่นหลายสำนัก ผู้ออกบัตรเครดิตจึงแข่งขันกันจัดรายการส่งเสริมการขายอย่างดุเดือด การใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นเติมน้ำมันรถ การรับประทานอาหาร หรือแม้กระทั่งซื้อของใน Supermarket ผู้ใช้บัตรเครดิตมักจะได้ส่วนลดหรือเงินคืนพิเศษ นอกจากนี้ยังมีการให้คะแนนสะสมเพื่อนำไปใช้แลกของรางวัล แลกไมล์สายการบิน หรือแลกเงินคืนเข้าบัตรเครดิต เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่น บัตรเครดิตกรุงศรีใช้จ่ายผ่านบัตรครบทุก 25 บาท รับคะแนน "กรุงศรี โบนัส" 1 คะแนน เป็นต้น

4. ได้วางแผนการใช้เงิน

สมัยนี้คุณสามารถดูรายการการใช้จ่ายของบัตร ได้สะดวกและทันท่วงทีผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร ทำให้รู้พฤติกรรมว่าแต่ละเดือนหมดค่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้างมากน้อยเพียงใด เรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของการทำบัญชีรายรับรายจ่ายนั่นเอง จุดเด่นอีกข้อของบัตรเครดิตคือ สามารถใช้ผ่อนสินค้าดอกเบี้ย 0% ที่ร้านค้าที่ร่วมรายการ เช่น โทรศัพท์มือถือ Tablet หรือ Notebook ทำให้ไม่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ออกไปทีเดียว สามารถสำรองเงินสดไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินได้

5. ได้สร้างเครดิต

วันที่ 29 เมษายน 2559 คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นชอบให้บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (National Credit Bureau: NCB) ให้บริการตรวจคะแนนเครดิต ซึ่งเครดิตบูโรเริ่มให้บริการตรวจตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2559 เป็นต้นมา โดยใช้กระบวนการทางสถิติเพื่อวัดความน่าจะเป็นในการชำระคืนหนี้ที่เรียกว่า แบบจำลองคะแนนเครดิต (Credit scoring) พฤติกรรมการใช้บัตรเครดิตก็เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งที่ถูกนำไปใช้คำนวณคะแนนเครดิต ถ้าคุณใช้บัตรเครดิตถูกวิธีอย่างที่กล่าวไปแล้ว คะแนนเครดิตก็จะดีนั่นเอง ส่งผลดีต่อการขออนุมัติสินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อเพื่อซื้อบ้าน ซื้อรถ เปิดร้าน หรือขยายกิจการก็ว่ากันไป

อย่างไรก็ตามบัตรเครดิตเป็นดาบสองคมถ้าใช้ถูกวิธีตามที่กล่าวไปแล้วก็จะได้รับแต่สิ่งดีๆ กลับมา ตรงกันข้ามถ้าใช้บัตรเครดิตผิดวิธีก็ถึงกับเป็นหนี้ก้อนโตได้เลยนะ อย่าลืมท่อง คาถาป้องกันตัวจากหนี้บัตรเครดิต นะครับ ด้วยความปรารถนาดีจากแอดมิน

หมายเหตุ อัปเดตข่าวสารทุกวันที่เพจ "สังคมไทยไร้เงินสด"